เทศน์เช้า วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมๆ เวลาฟังธรรมเราภูมิใจกันมาก พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาของผู้ที่มีปัญญา ศาสนาของผู้ประเสริฐนะ พระพุทธศาสนานี้มีค่ามาก พระพุทธศาสนาเลอค่ามาก
เลอค่ามากจนเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว นี่เราเน้นย้ำทุกวัน “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ”
มันลึกลับซับซ้อนๆ ลึกลับซับซ้อนมหาศาล ลึกลับซับซ้อนจนเวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติเวลามีดวงตาเห็นธรรม เวลาบรรลุธรรม มันไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
เวลาคนไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อะไรไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
เวลาไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายขึ้นมา สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอบรมสั่งสอนมามันมหัศจรรย์ มันเลอค่ามาก
แต่พวกเราเอาสมมุติ เอาความรู้สึกของเราไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็ตีเป็นวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ต้องพิสูจน์ตรวจสอบได้ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ตรวจสอบได้ๆ ตรวจสอบได้ด้วยความรู้ของกิเลส ด้วยความรู้ของตัวตน ด้วยความรู้ของเรา มันรู้ไม่ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้
แต่ถ้ามันจะเป็นไปได้ เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไง เวลาเทศนาว่าการนะ อนุปุพพิกถา เริ่มต้นจากเขาไม่เชื่อถือนับถือพระพุทธศาสนา ก็พยายามให้เขาเชื่อถือนับถือพระพุทธศาสนา เวลาเชื่อถือพระพุทธศาสนาแล้ว เริ่มต้นให้ทำทานๆ ทำทานขึ้นมาให้จิตใจเขาเปิดกว้าง ให้จิตใจเขาเป็นธรรมขึ้นมา
พอจิตใจเขาเป็นธรรมขึ้นมา บุญกุศลทำให้เกิดบนสวรรค์ เวลาไปเกิดบนสวรรค์ให้ถือเนกขัมมะ ให้ถือเนกขัมมะ จิตใจ เนกขัมมะ สวรรค์ไม่เอา พรหมไม่เอา พอไม่เอาแล้ว พอไม่เอามันถือเนกขัมมะ เนกขัมมะคือถือบวช ถือบวชเป็นสมณะ
พอถือเป็นสมณะแล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงแสดงอริยสัจ เวลาแสดงอริยสัจขึ้นมาเป็นสัจจะความจริงขึ้นมานะ มันจะเป็นสัจจะความจริงขึ้นมาในหัวใจนั้น ถ้ามันเป็นสัจจะความจริงในหัวใจอันนั้น พระพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาถือผีถือสาง
เวลาศาสนาถือผีถือสาง ดูพราหมณ์สิ เวลาพราหมณ์เขาบูชายัญๆ คนที่ฐานะต่ำต้อยก็ฆ่าวัว ๑๐ ตัว คนที่ฐานะสูงส่งขึ้นมาก็ฆ่าวัว ๑๐๐ ตัว ไอ้ผู้ที่ปกครองก็ฆ่าวัว ๑,๐๐๐ ตัว เขาฆ่าวัว ฆ่าสัตว์บูชายัญๆ นะ เวลาเขาบูชายัญ บูชายัญด้วยความอิ่มเอมของเขา บูชายัญเพื่อให้เทพเจ้าพอใจๆ พอใจเพื่อจะได้คุ้มครองดูแลเขาๆ
ไอ้วัวไอ้ควายที่มันโดนมีดฟันคอนี่นะ มันบอกเลยนะ เฮ้ย! กูไม่รู้เรื่องเลย กูไม่รู้เรื่องเลยนะ มึงคิดกันเอง แล้วมึงก็เอากูมาฆ่าๆ
นี่ไง นี่พูดถึงเวลาทางศาสนาถือผีถือสาง เวลาถือผีถือสางขึ้นมาแล้ว เวลาฆ่าไปแล้ว ฆ่าวัวเป็นหมื่นเป็นแสน
มันมีนะ กษัตริย์โบราณที่เขายิ่งใหญ่เขาฆ่าเป็นแสนนะ เวลาฆ่าเป็นแสนแล้ว ดูสิ จิตวิญญาณมันโหยหวนขนาดไหน เวลามันโหยหวนขึ้นมา มันทุกข์มันยากขึ้นมา
นี่ไง เราก็บอกว่า ผีไม่มี
นรกสวรรค์ ถ้าเรื่องนรกสวรรค์ คำว่า “นรกสวรรค์” ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เวลาทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วโดยสัจจะโดยความจริงของมัน โดยสัจจะความจริงใครทำคุณงามความดี พระพุทธศาสนาสอนเรื่องทาน เรื่องการให้อภัย เรื่องความเป็นจริงในหัวใจ มันทำได้ยาก
ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “จะสอนใครได้หนอๆ”
นี่โดนเขาทำร้าย โดนเขาเบียดเบียน โดนเขากลั่นแกล้ง แล้วจะแผ่เมตตาให้เขา ศาสนานี้เป็นศาสนายอมจำนนหรือ ศาสนามีแต่ความทุกข์ความยาก ศาสนานี้ไม่เห็นชนะคะคานใคร ไม่เหยียบย่ำทำลายใครได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่
ผู้ยิ่งใหญ่มันเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง ถ้าเรื่องความจริงๆ “จะสอนใครได้หนอๆ” จะสอนใครได้หนอเพราะว่าคนคนนั้นต้องเห็นคุณค่าของหัวใจของตน คนคนนั้นต้องเห็นคุณค่านะ คุณค่าหัวใจของตน
ถ้าคุณค่าหัวใจของตน เวลาเรามาวัดมาวากัน ทาน ศีล ภาวนา ทาน ศีล ภาวนาไง เวลาเราทำบุญกุศลของเรา เสียสละทาน เราจะรักษาศีล เราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะภาวนา แล้วจะเอาอะไรภาวนา เวลาภาวนาขึ้นมา นี่ไง มันเอาเปลือกๆ ไง
โดยธรรมชาติของคน คนเกิดมามีกายกับใจๆ หัวใจเวลาคิด คิดแบบสมมุติ โลกสมมตินี่ไง โลกสมมุติก็รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราคิดกันด้วยความโลกๆ นี่ไง พอคิดกันด้วยความโลกๆ ก็เอาความโลกๆ มาศึกษาพระพุทธศาสนา เวลาศึกษาพระพุทธศาสนาก็ตีความเป็นวิทยาศาสตร์
พอวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้าเป็นพุทธศาสน์ พุทธศาสน์ท่านบอกเลย การศึกษามาเป็นสุตมยปัญญาคือการท่องจำๆ การท่องจำมา ท่องจำมาเพื่อทำไม ท่องจำมาเพื่อประพฤติปฏิบัติไง
เวลาไม่มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมบุกสมบันขนาดไหน เวลามีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กึ่งพุทธกาลนี้หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น พระไตรปิฎกก็มีอยู่
คิดอ่านขนาดไหน ศึกษาขนาดไหน คนที่มีอำนาจวาสนาเป็นถึงพระอรหันต์นะ แล้วเป็นพระอรหันต์ เป็นอาจารย์ใหญ่ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเชาวน์ด้วยปัญญาของท่าน ท่านยังศึกษาแล้วท่านยังเข้าใจได้ยากๆ เวลามาปรึกษานักปราชญ์ก็มาปรึกษาเจ้าคุณอุบาลีฯ เวลาศึกษามาเขาศึกษามาเพื่อปฏิบัติไง ไม่ได้ศึกษามาเพื่อเป็นหนอนหนังสือ
เป็นหนอนหนังสือแล้วก็จดจำมันไว้ จดจำไว้นี่เป็นความรู้ของเราๆ แล้วก็ความรู้ของเรานี่เป็นเรื่องโลกๆ ไง แล้วถ้ามันมีความเชื่อมันก็เคารพบูชา ถ้ามันไม่มีความเชื่อมันก็คัดมันก็ค้านมันก็ทำลาย
เวลามันทำลาย ติเตียนพระอริยเจ้าเป็นบาปมหันต์ๆ เวลาทำบาปมหันต์ เวลาตกนรกอเวจี
“นรกสวรรค์ไม่มี เขียนเสือให้วัวกลัว”
ไม่ต้องเขียน มันเป็นสัจจะเป็นข้อเท็จจริง เวลามันเป็นสัจจะเป็นข้อเท็จจริง ทำชั่วมันต้องได้ชั่ว เวลามันทำบาปอกุศลของมัน ดูสิ เวลาคนอนัตริยกรรมๆ เวลาบาปหนัก อย่าทำร้ายพ่อแม่ อย่าดื้ออย่าดึง อย่าทำให้พ่อแม่เจ็บช้ำน้ำใจ นี่อนัตริยกรรมๆ
เวลากรรม เวลาเราทำร้ายใครๆ ทำร้ายคนอื่นมันก็เป็นการทำร้ายเขา เวลาทำร้ายความเจ็บช้ำน้ำใจกับพ่อกับแม่ของเรา เพราะพ่อแม่ของเรามีบุญมีคุณ เห็นไหม
ในพระพุทธศาสนาท่านสอน เวลาฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นอาหาร สิ่งใดที่เป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อยก็เป็นบาปกรรมอันหนึ่ง สัตว์ที่มีคุณๆ คนที่เขามีสติปัญญาของเขา สัตว์ที่มีคุณมันมีคุณกับเรา มันสร้างเสริมอาชีพของเรา มันทำให้ครอบครัวเรามั่นคง เขาเลี้ยงดูอย่างดี ตายแล้วเอาพระมาชักบังสุกุลอีกต่างหาก เห็นไหม
สัตว์มีคุณๆ เวลาไปทำลายมัน ทำร้ายเขามันมีบาปมากขึ้น แต่เวลาสัตว์ที่มันเป็นอาหาร สัตว์ที่มันเป็นเครื่องดำรงชีพนะ มันมีกรรมไหม มันก็มีกรรมทั้งนั้น เพราะศีล ๕ ไง
ถ้าคำว่า “ศีล ๕” เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเราศึกษาเราต้องเข้าใจว่า สุตมยปัญญาศึกษาแบบโลกๆ ก็เป็นเรื่องโลกๆ ไง ท่องจำๆๆ ท่องจำมาเพื่อประพฤติปฏิบัติ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา จินตนาการยิ่งใหญ่ จะยิ่งใหญ่ๆ จินตนาการกันไป
พระพุทธศาสนาที่ว่าสอนได้ยากๆ ไง
เวลาบอกว่า นรกสวรรค์มันไม่มี
นรกสวรรค์มี นรกสวรรค์มันเป็นวัฏฏะๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณตั้งแต่พระเวชสันดรไป เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นเทพบุตรรออยู่บนสวรรค์
สวรรค์ไม่มีหรือ นรกสวรรค์ไม่มีหรือ นรกสวรรค์ก็เป็นนรกสวรรค์ไง นรกสวรรค์ก็วัฏฏะๆ ไง เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอน สอนออกไปวิวัฏฏะไง พ้นออกจากวัฏฏะๆ ไง
ถ้าออกจากวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ มันเป็นสถานที่อยู่ของใจที่มันมีเวรมีกรรม ใจที่มีเวรมีกรรมมีคุณค่าขนาดไหน ทำบุญกุศลมากน้อยแค่ไหนมันก็ไปเกิดตามสถานะอันนั้น ถ้าไปเกิดตามสถานะอันนั้น นี่ไง เขียนเสือให้วัวกลัวหรือ
ไม่ต้องเขียนหรอก เดี๋ยวมึงก็รู้ เชื่อไม่เชื่อเป็นสิทธิของเอ็ง สิทธิของใครเป็นสิทธิของเขา แต่พระพุทธศาสนา ที่ว่า “จะสอนใครได้หนอๆ” เพราะมันรู้ได้ยากไง ถ้ารู้ได้ยาก เวลาถ้าจะรู้ด้วยตัวของตนเอง เป็นปัตจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก
ถ้าเป็นปัตจัตตัง เป็นปัตจัตตังที่ไหน ถ้าเป็นปัตจัตตัง ปัตจัตตังที่สมองนี้ใช่ไหม จำให้มากจำให้ยิ่งไง
แต่สิ่งที่ทำมาๆ เพราะว่าถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงนะ เพราะมันเป็นข้อเท็จจริงในวัฏฏะๆ ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ๆ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ นี่พันธุกรรมของมันไง
เวลาพันธุกรรมของจิตๆ จิตอย่างไรก็แล้วแต่ที่ได้ทำคุณงามความดีมาจนเป็นจริตเป็นนิสัยย้ำคิดย้ำทำจนเป็นความดี เด็กบางคนเกิดมา เด็กบางคนมันมีแนวคิดที่ดีงามมาก เด็กบางคนเกิดมามันดื้อมันรั้นของมันธรรมชาติของมัน อันนี้เป็นพันธุกรรมของจิตของเขานะ
แต่เป็นพันธุกรรมของจิตของเขาแล้วมันก็เป็นเวรเป็นกรรมที่ซับซ้อนกันมา เป็นเวรเป็นกรรมที่ซับซ้อนกันมาเป็นสายบุญสายกรรม สายบุญสายกรรมที่มาเกิดร่วมกันมามันเป็นบุญเป็นกรรมขึ้นมา
อภิชาตบุตร บุตรที่ดีงาม คนที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ ไม่ใช่ว่าลูกเราเกิดมามันจะเลวไปทั้งหมดหรือจะดีไปทั้งหมด นี่เป็นสายบุญสายกรรมเพราะคนมันทำคุณงามความดีของมันมา นี่ผลของวัฏฏะๆ ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิวัฏฏะๆ วิวัฏฏะคือพ้นจากวัฏฏะไป พ้นจากพรหม พ้นจากกามภพ รูปภพ อรูปภพ พ้นออกไปๆ แล้วจะพ้นออกไปอย่างไร
“จะสอนใครได้หนอๆ”
เวลามันจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็เอามาอ้างเขียนรูปภาพกันไง มันเป็นธรรมาธิษฐาน อวิชชา โอ้โฮ! เป็นยักษ์เป็นมารเลย
แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติไป ท่านบอกว่า อวิชชามันยิ่งกว่านางสาวจักรวาล จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส ความผ่องใส ความออเซาะ ความฉอเลาะ ความทำให้ลุ่มหลง
แต่เวลาเขียนขึ้นมาบอก อวิชชามันเป็นสิ่งที่เลวร้าย พอสิ่งที่เลวร้าย เวลาเขียนต้องเป็นยักษ์เป็นมาร เวลาเป็นยักษ์เป็นมารก็คิดว่ามันจะเป็นยักษ์เป็นมาร ก็ไปฆ่ายักษ์ฆ่ามารให้หมดเลย แล้วก็เหลือแต่แสงธรรมชาติเอาไว้ในหัวใจ
แสงธรรมชาติในหัวใจมันก็เป็นอวิชชา อวิชชาเดี๋ยวมันก็ครอบงำ นี่มันไม่รู้ไม่เห็นไปหรอก มันทำเป็นไปไม่ได้ คนเราไม่เคยประพฤติปฏิบัติรู้ด้วยสัจจะความจริงไม่ได้ ถ้ารู้ด้วยสัจจะความจริงไม่ได้ นี่พูดถึงสัจจะความจริงนะ สัจจะความจริงของวัฏฏะ ของโลก
นรกสวรรค์ นรกเป็นอย่างไร
ไปเที่ยวนรกๆ แล้วว่านรกเป็นอย่างนั้น มันไม่เหมือนพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะท่านเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายผู้มีฤทธิ์มีเดช ชาวนครราชคฤห์เวลาเขาตายไป เวลาพระโมคคัลลานะท่านไปรู้ไปเห็นขึ้นมา เวลาท่านมาถวายต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะที่เทศนาว่าการกับชาวมคธไง
“นาย ก. อยู่บ้านนั้นเรือนนั้นตายแล้วไปเกิดที่นั่น นาย ข. อยู่บ้านนั้นเรือนนั้นตายแล้วไปเกิดที่นั่น”
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ใช่ๆ ใช่ๆ ใช่ตลอด นั่นเป็นเพราะคุณธรรมของพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ท่านมีฤทธิ์มีเดชของท่าน เห็นไหม
วัฏฏะก็คือวัฏฏะ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้เป็นไป เราเป็นไปตามกรรมๆ ด้วยหมดอายุขัยมันก็เสวยภพเสวยชาติไปตามกรรมนั้น ถ้าตามกรรมนั้นนะ
แต่เวลาพระโมคคัลลานะท่านสิ้นกิเลสแล้วท่านไม่มีวัฏฏะ ท่านไม่มีภพไม่มีชาติ มันทะลุปรุโปร่งไปหมด มันไปรู้ไปเห็นขึ้นมา นี่ถ้าเป็นความจริงก็เป็นความจริง ครูบาอาจารย์ที่เป็นความจริงท่านเป็นความจริงของท่าน ท่านไปเห็นแล้วมันธรรมสังเวชนะ มนุษย์มันมืดบอด มันไม่เชื่อของมัน
“นี่เขียนเสือให้วัววกลัว”
เขียนเสือให้วัวกลัว เขียนเสือให้วัวกลัวที่ไหน มันเป็นความจริงๆ ท่านเอามาเปิดเผยไง
เวลาหลวงตาท่านพูด ถ้าครูบาอาจารย์ท่านเปิดเผยนรกสวรรค์ให้เราเห็นแล้วเราจะไม่ทำความชั่วอีกเลย เราจะทำคุณงามความดีของ จะทำคุณงามความดีของเราเพราะอะไร ทำชั่วแล้วมันจะไปตกนรกอเวจีอย่างนั้น เราละเราวางของท่าน นี่พูดถึงว่าเราเห็นผลของวัฏฏะไง
แต่เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ของเราท่านศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแนวทางแล้วท่านพยายามค้นคว้าเข้ามาในใจของตน ค้นคว้าเข้ามาในใจของตน ใจของตนมันเคยผ่านมาจากไหน มันเคยเป็นมาอย่างไร จิตที่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันต้องรู้ต้องเห็นของมัน ถ้ามันรู้เห็นของมัน เวลามันจะสำรอกมันจะคาย คายที่ไหน
นี่ไง ธรรมะนี้ละเอียดลึกซึ้งนัก ทอดธุระ “จะสอนใครได้หนอๆ” เวลาสอนคนก็สอนคนเข้ามาที่นี่ไง สอนเข้ามาที่ใจของตน ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้วใจมีกำลังของมัน ใจมันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ ใจมันแก้ไขตัวมันได้
คนเราที่มันลุ่มมันหลงไปแล้วเราไม่สามารถเอาคนที่ลุ่มหลงในป่าออกจากป่าได้ แล้วใครจะออกป่า กรมป่าไม้เขารักษาดูแลป่า เขาเดินลาดตระเวนของเขา เขารู้หมดทุกจุดเลย เขาเข้าใจหมดเลย แต่เขาไม่ได้หลง
แต่ไอ้คนหลงๆ คนที่ไปเที่ยวป่า คนที่ไปศึกษาเข้าไปแล้วมันหลงป่า หลงป่าแล้วออกจากป่าไม่ได้ เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน จิตของเราหลงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าหลงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะแล้วใครจะช่วยมัน
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน สอนเข้ามาที่นี่ไง สอนเข้ามาที่นี่ สอนเข้ามาด้วยอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไม่ใช่เรื่องนรกสวรรค์ ไม่ใช่เรื่องภูตผีปีศาจ ไม่ใช่เรื่องอภิญญา ไม่ใช่เรื่องการรู้วาระจิต ไม่ใช่เรื่องว่า แหม! ทะลุปรุโปร่ง
แต่เราเกิดมาในวัฏฏะนะ นี่โดยสัจจะโดยความจริงนะ หนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสอง สองบวกสองต้องเป็นสี่ เวลาห้าบวกห้าต้องเป็นสิบ มันเพิ่มพูนขึ้นไป
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็นี่ไง ถ้าห้าลบสิบก็เหลือลบห้า ถ้าหนึ่งลบสองก็เหลือลบหนึ่ง แล้วถ้ามันมีสติปัญญารักษาจนเป็นศูนย์ ศูนย์ลบศูนย์มันก็เป็นศูนย์ ไม่มีอะไรเลย นี่ถ้าเป็นความจริงๆ เป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นอริยสัจเป็นความจริง
ไม่ใช่บวชมาแล้วประพฤติปฏิบัติด้วยความยิ่งใหญ่ ด้วยความอลังการ ด้วยความมีฤทธิ์มีเดช มีฤทธิ์มีเดชมันเรื่องของสมมุติบัญญัติทั้งนั้น เป็นเรื่องของโลกๆ ทั้งนั้น
ถ้าเป็นความจริงๆ ไง สิ่งที่ว่ารู้ได้ยากๆ ย้อนกลับมาที่เราไง พระพุทธศาสนานี้เลอค่า เลอค่าอย่างนี้ไง ถ้าเลอค่าอย่างนี้
ถ้าเรารู้ได้ เรารู้ได้เรื่องภูตผีปีศาจ ระลึกชาติ ระลึกต่างๆ
ระลึกก็คือระลึก มันเกี่ยวอะไร เกี่ยวอะไรกับมรรค มันมีความรู้ มันมีความยิ่งใหญ่มาจากไหน ถ้ามีความยิ่งใหญ่นั่นน่ะทำให้ลุ่มหลง
แต่เวลาพระโมคคัลลานะเวลาท่านไปเที่ยวไปโปรดสัตว์ๆ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ว่าโมคคัลลานะเธอทำไม่ถูกๆ
ท่านบอกใช่ๆ ใช่ๆ เพราะอะไร พระโมคคัลลานะไม่มีกิเลสไง คนที่ไม่มีกิเลส คนที่ไม่มีความลำเอียง คนที่ไม่มีสิ่งใดเป็นปมในใจ จะทำสิ่งใดเพื่อประโยชน์มันเป็นประโยชน์ทั้งสิ้น
คนที่มีกิเลส อะไรเท่าไรมันบอก เหมือนนักการเมืองเลย จะทำโครงการอะไรก็แล้วแต่ กูได้เท่าไร ไปรู้ไปเห็นอะไรมาก็จะไปอวด จะไปให้เขานับหน้าถือตา จะไปให้เขายกย่องสรรเสริญว่าเรามีคุณวิเศษ...นั่นน่ะยาพิษทั้งนั้นน่ะ แต่มันเป็นผลของวัฏฏะ เห็นไหม
คำว่า “เป็นผลของวัฏฏะ” มันมีของมัน ผลไม้มันต้องมีเปลือกของมัน ถ้าผลไม้ไม่มีเปลือก ผลไม้นั้นเราขนส่งกันไม่ได้ ผลไม้นั้นมันมีเปลือก เวลาเราซื้อมาเราต้องการเราก็ปอกเปลือกทิ้งๆ
จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันก็มีขันธ์ มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถึงเวลาแล้วเราจะปอกมัน เราจะแก้ไข มันแก้ไขอย่างไร
อริยสัจสอนอย่างนี้ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนที่นี่ สอนเรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ แล้วทุกข์ที่ไหนล่ะ
เวลาคนที่บูชายัญนะ ฆ่าสัตว์เป็นร้อยเป็นพัน เขาฆ่าด้วยความรื่นเริงของเขานะ เขาฆ่าเพราะความเชื่อของเขา มันเป็นทุกข์หรือ ไอ้เรา เราเห็นแล้วเราสังเวช เราเป็นทุกข์ไหม เราเป็นทุกข์ แล้วมันหน้าที่อะไรของเราล่ะ
มันก็เป็นหน้าที่ของเขา เขาทำของเขาก็เวรกรรมของเขา ไอ้เราไปเห็นแล้วเราก็เศร้าใจ เราเศร้าใจ นี่ธรรมสังเวชๆ ไง นี่ไง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกข์อยู่ที่ไหน ทุกข์มันอยู่ที่หัวใจ ถ้าทุกข์อยู่ที่หัวใจ เรามีสติปัญญามากน้อยแค่ไหนมันจะย้อนกลับมาที่นี่ไง
ถ้าย้อนกลับมาที่นี่ สิ่งดีงามขึ้นมา เรามาวัดมาวาเรามาทำบุญกุศลของเรา การทำบุญกุศล ทำบุญกุศลเพื่อให้หัวใจเข้มแข็งขึ้นมา ทำบุญกุศลให้หัวใจเราเข้มแข็งขึ้นมา ถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์ที่น่าเชื่อถือไว้วางใจ เราจะทำไหม
เราอยากทำๆ อยากทำกับผู้ที่ทรงศีลผู้ที่ทรงธรรม ผู้ที่มีศีลมีธรรมขึ้นมาเพื่อบุญกุศลของเรา สิ่งที่เราหามาด้วยปากกัดตีนถีบ หามาด้วยความยากลำบาก เราจะฝังไว้ในดิน ฝังไว้ในหัวใจของเรา เราจะฝังไว้ในพระพุทธศาสนานี้เราควรฝังที่ไหน คนที่มีสติปัญญาเขาเลือกเฟ้นของเขาไง
แล้วถ้ามันเป็นธรรมๆ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนนะ ถ้าพระที่มีคุณงามความดีคือพระปกติธรรมดา พระที่อยู่ในศีลในธรรม
ไม่ใช่พระโอเวอร์แอ็กชัน อู๋ย! ไปมาทั่ว รู้มาหมด แต่มองข้ามหัวใจของตน ใจของตนไม่รู้จัก
ถ้าใจของตนรู้จัก การรักษาใจนี้แสนยาก หลวงปู่มั่นท่านพูด “จิตนี้แก้ยากนัก จิตนี้แก้ยากนัก”
แล้วถ้าเอาแต่ยาเสพติดใส่ให้มันน่ะมันชอบๆๆ ยกยอปอปั้นขึ้นมาน่ะมันชอบๆๆ เวลาหักแข้งหักขามันน่ะ มันเกียจคร้าน มันดื้อดึง มันไม่ต้องการ มันไม่ต้องการเพราะเราจะปลดปล่อยไง เราจะปลดเปลื้องให้มันเป็นอิสระไง
ถ้ามันจะปลดเปลื้องให้เป็นอิสระ พุทโธๆ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มันไม่เอาๆ แต่ถ้ามันได้รับการยกย่องสรรเสริญขึ้นมามันชอบใจๆ นี่ไง กิเลสทั้งนั้นน่ะ
แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเรา นั่นน่ะยาพิษทั้งนั้นน่ะ ปฏิบัติเพื่อความยิ่งใหญ่ ปฏิบัติเพื่อความยอมรับ ปฏิบัติเพื่อจะสอนคนอื่น ตัวมันไม่รู้จัก เอ็งเอาอะไรไปสอนเขา
เวลาหลวงตาท่านพูดไง เวลาลูกศิษย์ของท่านจะไปลาท่านไปเมืองนอก ท่านบอก งานของเราทำเสร็จหรือยัง งานของตนเองน่ะ
พระกรรมฐานนะ เขาห่วงหัวใจของตน หัวใจของตนได้ดูแลรักษามันหรือยัง ได้ขุดคุ้ยแยกแยะให้เห็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากแล้วหรือยัง จะไปเผยแผ่น่ะ ในหัวใจของคนมันยังมีกิเลสบีบคั้น ต้องการความยิ่งใหญ่ ต้องการเหยียบย่ำทำลาย มันจะเอาอะไรไปเผยแผ่ ก็เผยแผ่แบบกูนี่ไง เผยแผ่แบบความยิ่งใหญ่อย่างนี้แหละ
พระพุทธศาสนาเลอค่าๆ เลอค่าคือพระปกติธรรมดา ถ้าปกติธรรมดาได้มันต้องมีสติมีปัญญาของมันในหัวใจของมัน นี่สิ่งที่เป็นความจริงในหัวใจนี้
นี่พูดถึงว่า ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริงนะ แล้วสิ่งนั้นมันมีอยู่ วัฏฏะมันมีอยู่แล้ว พระโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติ พระโสดาบันเกิดอีก ๗ ชาติ พระอนาคามีไม่เกิดบนกามภพ พระอนาคามีไปเกิดบนพรหม
เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติไปเวลามันเสวยอารมณ์แล้วมันปล่อย “อย่างนี้ไม่ใช่พระอรหันต์หรือ” ท่านบอกว่าถ้ามีอย่างนี้ไม่เอา
นี่คนที่เขามีศักดิ์ศรีทำอยู่ จับต้องอยู่ บอก ไม่เอา ไม่ใช่
ไอ้เราไม่มีหรอก ตระครุบเงา โดดใหญ่เลย ปีนต้นงิ้วด้วย “นิพพานๆ” มันปีนต้นงิ้วนะ “นิพพานๆ”
แต่เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติของท่านนะ มันเสวยแล้วมันปล่อย เสวยแล้วมันปล่อย พอมันปล่อยมันก็ โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์มาก ปล่อยแล้วมันจะสุขมากเพราะมันละเอียดลึกซึ้ง เพราะมันเป็นมหาสติ มหาปัญญา มันละเอียดลึกซึ้งแล้ว เพราะอะไร
เพราะเวลาท่านจิตมหัศจรรย์ของท่าน ท่านนั่งเพ่งนะ ภูเขาเลากาทะลุหมด โลกนี้สว่างไสว โลกนี้ว่างหมดเลย ธรรมะมาเตือนว่าสิ่งที่ว่างๆ นั้นมันเกิดจากจุดและต่อม
เวลาที่เวลามันว่างหมดๆ คือมันมหัศจรรย์อย่างนั้นไง แล้วเวลามันเสวยอารมณ์ๆ เพราะตอนนั้นท่านติดของท่านอยู่ไง เวลาเสวยอารมณ์มันก็มีความรู้สึกใช่ไหม เวลามันปล่อย ว่างหมดเลย มันทะลุปรุโปร่งไปหมดเลย อะไรก็ไม่มีในโลกนี้เลย โลกนี้เป็นความว่าง แต่ไม่ได้กลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิไอ้คนที่รู้ว่าว่าง
ใครที่รู้ว่าว่าง ใครเป็นเจ้าของบุญกุศลบาปอกุศล ใครเป็นเจ้าของมรรคผลนิพพาน ใครเป็นคนทำลายตัวตนของตน ไม่มีใครรู้จักหรอก นี่ไง ท่านบอกว่าอย่างนี้ไม่เอา ไม่มีเหตุมีผลไม่เอา เวลาถึงที่สุดแล้วท่านไปทำของท่าน มันมีเหตุมีผลทั้งสิ้น จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ
เรามาทำบุญกุศลกันไง แล้วจะเห็นคุณค่าว่าธรรมะนี้มันยิ่งใหญ่มาก ธรรมะนี้มหัศจรรย์มาก แต่พวกเราเข้ากันเปลือกๆ ทั้งนั้นน่ะ เข้ากันด้วยสุตมยปัญญา
โดยธรรมชาติของมนุษย์คิดด้วยสมอง คิดด้วยเหตุด้วยผล เป็นสุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการใคร่ครวญ ปัญญาเกิดจากการวิเคราะห์วิจัย
แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วนะ ยกขึ้นสู่วิปัสสนานะ ขณะที่จิตสงบแล้วเป็นสากล เพราะเป็นตัวตน จะเป็นตัวตนแต่มันก็วางกิเลสไว้ให้เรามีโอกาสได้พิจารณา มันร้ายกาจตรงนี้
ถ้าเราปอกเปลือกผลไม้ไม่เป็น เราจะไม่เห็นเนื้อผลไม้เลย ผลไม้ผลใดก็แล้วแต่มาวางไว้ เราก็จะเพ่งแต่เปลือก ได้แต่เปลือก อยู่ที่เปลือกนั้นเท่านั้น แต่ถ้าเราได้ปอกเปลือกนั้น เราจะได้เนื้อผลไม้นั้น
จิตใจของเรามันอยู่ด้วยขันธ์ ๕ ครอบคลุมมันอยู่ คิดอย่างไรทำอย่างไรมันก็เป็นสมมุติทั้งนั้นน่ะ มันเป็นเรื่องโลกียปัญญา ปัญญาโลกๆ ทั้งหมด
ถ้าจิตสงบเข้าไป สงบแล้ว เนื้อนั้นเอามาประกอบเป็นอาหาร เนื้อนั้นเอามาเป็นเพื่อประโยชน์กับเรา เนื้อนั้นใช้ปัญญานั้นวิปัสสนาไง วิปัสสนาโดยเนื้อนั้น สิ่งที่เป็นประโยชน์นั้นมันมีคุณค่ามากกว่าเปลือกมหาศาลเลย แล้วถึงที่สุดแห่งทุกข์เวลามันทำลายหมดสิ้นไป นี่ไง ศาสนาพุทธที่มันเลอค่า มันเลอค่าอย่างนี้ เอวัง